หมู่บ้านตาปิ่น ที่มา : ดุษฎีพร ชาติบุตร |
หมู่บ้านตาปิ่น
(Taphin Village) หมู่บ้านเย้าแดงหมู่บ้านตาปิ่นนี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตัวเมืองซาปา
ใช้เวลาในการเดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ 30 นาที ประชากรส่วนใหญ่คือชาวเขาเผ่าเย้าแดง
ที่เหลือเป็นชาวเขาเผ่าม้งดำ และชาวเวียดนามอาศัยอยู่บ้างเล็กน้อย ผู้เขียนได้สอบถามหญิงเย้าแดงที่ออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยวว่า
พวกเขาเรียกตัวเองว่าอย่างไร เธอตอบว่า “Dao” (ออกเสียงว่า
“Zao”) ซึ่งในประเทศไทยเรานั้นจะเรียกว่า “เย้า”
แต่เย้าจะเรียกตนเองว่า “เมี่ยน” เพราะเมี่ยนแปลว่า คน ส่วนเย้าแปลว่า คนป่าเถื่อน
ถือเป็นการเรียกที่ไม่สุภาพ
เย้าเป็นชนกลุ่มน้อยโบราณที่อาจมีอายุเก่าแก่เท่ากับชาวฮั่น
ในช่วงพันปีที่ผ่านมา ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมือง
ผลักดันให้เย้ามีการอพยพอย่างช้าๆ จากตอนกลางของจีน และอพยพลงใต้
เข้าสู่ภาคเหนือของเวียดนาม ลาว และไทย เย้าแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยๆอีกหลายกลุ่มและอาศัยอยู่ในหลายพื้นที่ทำให้มีรายละเอียดปลีกย่อยด้านวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป
อย่างไรก็ตามเอกลักษณ์เด่นๆของชนเผ่าเย้าก็ยังคงมีร่วมกันอยู่
รวมทั้งความเชื่อมโยงทางด้านภาษาด้วย เย้านับถือลัทธิเต๋าและวิญญาณบรรพบุรุษ
และถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชาวเย้า ในส่วนของเย้าแดงนั้น
ได้มีการอพยพลงมาจากประเทศจีนตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 13
เรื่อยมาจนกระทั่งต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20
เย้าแดงส่วนใหญ่ได้อพยพมายังเวียดนามตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง
อันเนื่องมาจากความแห้งแล้งและแรงกดดันจากระบบศักดินาในประเทศจีน
ภายในบ้านของชาวเย้าแดง ที่มา : ดุษฎีพร ชาติบุตร |
บรรยากาศภายในหมู่บ้านตาปิ่น
ในส่วนของพื้นที่ราบเต็มไปด้วยท้องนาที่เป็นลักษณะขั้นบันไดต่ำๆ
ไม่ชันมากอย่างที่หมู่บ้านกั๊ต กั๊ต
และมีการปลูกบ้านรวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆประมาณ 20 กลุ่ม
ส่วนที่สูงขึ้นไปจะเป็นกลุ่มบ้านเล็กๆ
ไร่ข้าวโพดและสวนผัก
บ้านของเย้าจะมีขนาดใหญ่กว่าม้งเล็กน้อยแต่มีรูปแบบคล้ายๆกัน
ผู้เป็นแม่และลูกสาวเมื่ออยู่กับบ้านจะเตรียมอาหารและเย็บปักถักร้อย ถ้าต้องออกไปทำงานในไร่นา เมื่อกลับมาในตอนเย็นแล้วก็จะมานั่งรวมกลุ่มพูดคุยกัน
ส่วนผู้ชายจะรับหน้าที่ดูแลงานปศุสัตว์และงานที่ต้องใช้แรงงานหนัก เช่น สร้างบ้าน
ก่อสร้างสิ่งต่างๆ บางครั้งก็ต้องออกเดินทางเข้าไปในป่า เพื่อเก็บไม้มาสร้างบ้าน
หรือออกไปเตรียมพื้นที่ในการทำเกษตรกรรม เป็นต้น
การแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ของสตรีเย้าแดงก็คือ การโพกศีรษะด้วยผ้าสีแดง
ถ้าเป็นสตรีที่อายุน้อย ผ้าโพกจะมีขนาดเล็ก
ถ้าเป็นสตรีสูงอายุผ้าโพกศีรษะจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีการตกแต่งที่วิจิตรมากขึ้นตามไปด้วย
เอกลักษณ์อีกอย่างของสตรีเย้าแดงคือ การนิยมโกนคิ้วและหน้าผาก
ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม
สตรีเย้าแดงจะมีความเชี่ยวชาญในด้านงานปัก
และช่างโลหะเงิน
เด็กสาวจะไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งงานได้
จนกระทั่งมีความเชี่ยวชาญด้านศิลปะเหล่านี้เพียงพอ
ในปัจจุบันสตรีเย้าแดงไม่เพียงแต่ทำงานศิลปะ ออกไปปลูกผัก เลี้ยงสัตว์
และเก็บฟืนเท่านั้น แต่พวกเธอยังต้องฝึกเรียนภาษาอังกฤษให้เชี่ยวชาญ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในหมู่บ้านทุกๆวันอีกด้วย
สตรีเย้าแดง ทำงานหัตถกรรมและพักผ่อนพูดคุยกัน ที่มา : ดุษฎีพร ชาติบุตร |
สตรีเย้าแดงออกมารอรับนักท่องเที่ยว ที่มา : ดุษฎีพร ชาติบุตร |
รูปแบบของการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่หมู่บ้านตาปิ่นนี้
เมื่อรถทัวร์ของนักท่องเที่ยวเข้าไปจอดที่ลานหน้าหมู่บ้าน
สตรีเย้าแดงจะรวมกลุ่มกันข้างรถและจับจองว่าเธอจะเดินประกบนักท่องเที่ยวคนไหน ตั้งแต่นักท่องเที่ยวยังไม่ได้ลงจากรถ
เมื่อเดินลงมาจากรถนักท่องเที่ยวจะมีไกด์ท้องถิ่น ซึ่งก็คือ
สตรีเย้าแดงคอยแนะนำหมู่บ้าน รวมทั้งวิถีชีวิตของเย้าแดง
ด้วยภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่วชำนาญเป็นอย่างมาก
จนบางทีนักท่องเที่ยวเสียเองที่พูดและฟังภาษาอังกฤษได้ดีไม่เท่าพวกเธอ
เมื่อพาเที่ยวรอบหมู่บ้านและเดินกลับจะออกจากหมู่บ้านแล้ว
เธอก็จะเสนอขายสินค้างานฝีมือต่างๆ ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูง
แต่ก็สามารถต่อรองราคาได้จนถูกลงมาก
เย้าแดงบางคน เมื่อโน้มน้าวให้นักท่องเที่ยวให้ซื้อของไม่ได้
ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร และกล่าวลาด้วยไมตรีจิตที่ดี
แต่ก็มีบางคนที่อาจจะตื้อขายของอยู่พักใหญ่
และมีอาการเคืองอยู่บ้างถ้านักท่องเที่ยวไม่อุดหนุนสิ้นค้าเลยสักชิ้น
ปัจจุบันที่หมู่บ้านตาปิ่นนี้มีการทำการท่องเที่ยงเชิงวัฒนธรรม
ในรูปแบบของโฮมสเตย์ กล่าวคือ
นักท่องเที่ยวสามารถมานอนค้างคืนที่บ้านของชาวเย้าแดงได้
ร่วมรับประทานอาหารและใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับพวกเขาได้
ถ้าต้องการพักอยู่นานมากขึ้น ก็สามารถออกไปช่วยงานเกษตรกรรม ช่วยตกแต่งบ้าน
หรือแม้กระทั่งสอนภาษาอังกฤษแก่พวกเขาได้
โดยชาวเย้าแดงจะให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับวัฒนธรรมของพวกเขาในเชิงลึกได้มากยิ่งขึ้น
ชายเย้าแดงกำลังช่วยกันสร้างบ้าน ที่มา : ดุษฎีพร ชาติบุตร |
ขอบคุณข้อมูล >>>http://goo.gl/iJgw2T